ประวัติ: “หอวัง” เป็นชื่อพระตำหนักในวังของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าวชิรุณหิศ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ซึ่งต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานวังให้แก่จุฬาลงณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2472 และได้ใช้ตำหนัก “หอวัง” เป็นอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนมัธยมหอวังแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับนิสิตแผนกฝึกหัดครูฝึกสอน
- พ.ศ. 2478 ได้ย้ายมาอยู่ที่อาคารซึ่งเป็นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในปัจจุบัน
- พ.ศ. 2486 มีการปรับปรุงรูปแบบการศึกษาตามแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ โรงเรียนแห่งนี้จึงได้สลายตัวไป
- พ.ศ. 2509 คณะกรรมการบริหารสมาคมนักเรียนเก่ามัธยมหอวังแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีมติสถาปนาขึ้นใหม่อีกครั้งโดยย้ายสถานที่ตั้งมาอยู่ที่โรงเรียนบางเขนวิทยา และขอเปลี่ยนชื่อโรงเรียนบางเขนวิทยาเป็น “โรงเรียนหอวัง” สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จนถึงปัจจุบัน
สถานที่ตั้ง: ตั้งอยู่ที่เลขที่ 16/9 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร บนเนื้อที่ 23 ไร่ 1 งาน
ปัจจุบัน: โรงเรียนหอวัง เป็นโรงเรียนประเภทสหศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรทรวงศึกษาธิการ เปิดสอนระดับชั้นมัธยนศึกษาตอนตันถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย มีนักเรียนชาย-หญิงรวม 4,412 คน มีครู-อาจารย์ จำนวน 193 คน และมีนางพิศวาส ยุติธรรมดำรง เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบัน
สัญลักษณ์ของโรงเรียน: เป็นรูปบัวพระเกี้ยว ซึ่ง “พระเกี้ยว” เป็นตราประจำองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และ “ดอกบัว” เป็นสัญลักษณ์แห่งหัวใจอันดีงามและมีความหมายแห่ง “ปทุมวัน” อันเป็นตำบลที่ตั้งเดิมของ “หอวัง”
คติพจน์ประจำโรงเรียน: “ผู้ฟังดีย่อมเกิดปัญญา”
บางส่วนของ
โรงเรียนหอวัง
... ปี พ.ศ. 2544 – 2545 ทางโรงเรียนหอวัง
ได้ตรวจพบนักเรียนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสารเสพติด
ซึ่งมีทั้งการเสพยาบ้า ดื่มสุรา เหล้าแห้ง และสูบบุหรี่
โรงเรียนหอวัง เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นถึงตอนปลาย มีสภาพแวดล้อมตั้งอยู่ย่านชุมชนที่มีอาชีพและฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกันบนถนนพหลโยธิน มีศูนย์การค้าและแหล่งบันเทิงที่ล่อแหลมต่อการขยายผลทั้งผู้เสพและผู้ค้าสารเสพติดประกอบกับชุมชน กม. 11 เป็นชุมชนที่อยู่ใกล้โรงเรียนสภาพของผู้อยู่อาศัยมีอาชีพรับจ้าง เป็นที่พักของพนักงานรถไฟ มีการเปลี่ยนที่อยู่อาศัยตลอดเวลา เป็นบ้านชั่วคราวมีความแออัด นอกจากนั้น ในพื้นที่ดังกล่าวยังมีสิทธืที่จะส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนหอวังถึงร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด โดยเฉพาะเงื่อนไขของการรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถส่งบุตรหลานในพื้นที่นี้เข้าเรียนที่โรงเรียนหอวังได้ปีละ 100 คนทุกปี ดังนั้น จึงมีนักเรียนจากพื้นที่ฯ อยู่ในทุกระดับชั้น รวม 600 คนทุกปีการศึกษา ทำให้โอกาสที่จะเกิดปัญหาด้านสารเสพติดสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย
และจากสภาพแวดล้อมที่อยู่ย่านชุมชนนี้เอง โรงเรียนจึงถูกจัดให้เป็นศูนย์กลางทางการศึกษา และกิจกรรมต่างๆ เช่น สนามสอบ การแข่งขันกีฬา บริการเป็นสถานที่จอดรถ ฯลฯ ดังนั้น โรงเรียนหอวังจึงต้องมีมาตรการที่เข้มงวดในการกวดขันบุคคลภายนอกที่เข้ามาภายในโรงเรียน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการองค์กรหรือมีผลต่อการเพิ่มปริมาณสารเสพติดแก่นักเรียนได้
ในระหว่างปี พ.ศ. 2544-2545 ทางโรงเรียนหอวังได้ตรวจพบนักเรียนเข้าไปข้องเกี่ยวกับสารเสพติดซึ่งมีทั้งการเสพยาบ้า ดื่มสุรา เหล้าแห้ง และสูบบุหรี่ ดังนั้น คณะครู-อาจารย์ และผู้บริหารของโรงเรียนจึงได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อป้องปราม และบำบัด โดยใช้วิธีการ “สามประสาน” คือการประสานความร่วมมือของโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ซึ่งทำให้เกิดโครงการเครือข่ายผู้ปกครอง มีกิจกรรมที่สำคัญต่างๆ มากมาย ได้แก่ “คลินิกพัฒนาปัญญา” โดยมีผู้ปกครองที่เป็นจิตแพทย์มาบริการให้คำปรึกษาด้านสุขจิตวิทยา คือ ศารสตราจารย์ ดร.เนาวรัตน์ ศูขะพันธ์ ข้าราชการบำนาญ มหาวิทยาลัยมหิดล และพันเอกนายแพทย์ สมบัติ เกษมโอสถ ผู้อำนวยการกองจิตเวช โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ มาประจำคลินิกทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดี ระหว่างเวลา 16.00-18.00 น.วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ ระหว่าง เวลา 12.00-17.00 น. และวันเสาร์ ระหว่างเวลา 09.00-12.00 น. ซี่งมีนักเรียน ผู้ปกครอง และบุคคลทั่วไปมารับบริการเป็นจำนวนมาก
การสร้างกัลยาณมิตรกับหน่วยงานภายนอก โดยโรงเรียนหอวังได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนบริษัทเอกชนใกล้เคียงเพื่อดำเนินกิจกรรมและจัดให้ทุนการศึกษา เช่น สำนักงานคณะกรรมการการลงทุน (BOI) ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บริษัท เอส.ซี. อาคารชินวัตร 3 เป็นต้น โดยสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน กองกำกับการป้องกันและปราบปรามจลาจล และผู้ปกครองของนักเรียนที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เข้าร่วมโครงการตำรวจผู้ปกครองรักลูกหอวัง โดยได้มีการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจมาประจำที่โรงเรียนทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ระหว่างเวลา 12.00-17.30 น. และได้จัดตำรวจมาช่วยดูแลนักเรียนหอวังบริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว และภายนอกโรงเรียนหอวังทุกวัน อันเป็นการป้องปราบสารเสพติดได้เป็นอย่างดี
กิจกรรมการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยเน้นการศึกษานักเรียนเป็นรายบุคคล การเยี่ยมบ้าน การประชุมผู้ปกครองนักเรียนที่มีปัญหา ระบบการคัดกรองส่งต่อนหัเรียนอย่างมีระบบ การสร้างคนดีคืนสู่สังคม ซึ่งข้อมูลต่างๆ จากนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะถูกบันทึกอย่างต่อเนื่องและเป็นความบับ ทำให้ง่ายต่อการแก้ไขปัญหา ผู้ปกครอง ผู้นำท้องถิ่น สถานีตำรวจ และหนี่วยงายภายนอก จะประสานความร่วมมือและร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยทันทีและอย่างต่อเนื่อง
กิจกรรมด้านกีฬา ดนตรี ศิปละ วิชาการ สาธารณกุศล การบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน กิจกรรมเทิดทูนพระคุณพ่อ-เทิดทูนพระคุณแม่ ตลอดจนการปลูกฝังและหล่อหลอมให้นักเรียนมีคุณธรรมจริยธรรม นับเป็นยุทธศาสตร์ในการแผนการพัฒนาป้องปราม และแก้ไขปัญหาสารเสพติดระยะยาวของคณะครู-อาจารย์ และผู้บริหารโรงเรียนหอวังภายใต้ความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยจะเน้นการสร้างสายสัมพันธ์ และความรู้สึกอบอุ่นให้เกิดขึ้นระหว่างนักเรียน ครู-อาจารย์ ผู้บริหาร และผู้ปกครอง ตลอดจนนักเรียนด้วยกัน เพื่อให้ทุกฝ่ายและทุกคนเกิดจิตสำนึกในความร่วมรับผิดชอบ เกิดความรัก ผูกพัน และหวงแหนในตัวลูกหลานและสถาบัน และเพื่อไม่ให้นักเรียนคิดหรือหันเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดทุกประเภท แม้จะเป็นเวลาเลิกเรียนหรือวันหยุดของนักเรียนก็ตาม
การดูลสภาพจิตใจของนักเรียนก็นับเป็นสิ่งสำคุญมากสิ่งหนึ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาได้สอดส่องดูแลและให้ความช่วยเหลือแก่นักเรียนรวมทั้งผู้ปกครองเครือข่าย เพื่อเป็นป้องกันแก้ไขปัญหาให้ทั่วถึงและตรงตามสภาพปัญหา และเพื่อพัฒนาให้นักเรียนสามารถควบคุมตนเอง ควบคุมอารมณ์ได้ ได้เรียนรู้อย่างเป็นสุขและพัฒนาความฉลาด โดยการใช้หลักศาสนาเข้ามาขัดเกลาจิตใจ ได้รู้จักการไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ และส่งเสริมให้นักเรียนได้กล้าแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในสังคมส่วนรวม เพื่อให้รู้จักกับความรับผิดชอบ และการรู้จัก “ให้” แก่ผู้อื่น
ผลจากความเพียรพยายามและการทุ่มเทในการดำเนินการจัดกิจกรรมตามโครงการต่างๆ เพื่อป้องกัน ป้องปราม และแก้ไขปัญหาสารเสพติดมาอย่างต่อเนื่องและเน้นที่ประสิทธิภาพเสมอมา ทำให้จำนวนนักเรียนผู้เสพสารเสพติดมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะยาบ้าซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างมากต่อชีวิตและสังคม ในปีการศึกษา 2546 ได้หมดไปจากโรงเรียนหอวังโดยไม่พบผู้เสพเลย คงเหลือเพียง “บุหรี่” ที่เป็นการอยากลองหรือความหลงผิดที่ติดตัวนักเรียนใหม่เข้ามาในทุกปี แต่ด้วยการคัดกรองและให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียนเหล่านั้น สถิติก็เริ่มลดลงจนแทบจะหมดไปในปัจจุบัน จึงเป็นความภาคภูมิใจใผลสำเร็จของความร่วมมือที่เกิดจึ้นจากทุกฝ่ายและเป็นความตั้งใจที่จะทำให้โรงเรียนหอวังเป็นโรงเรียนที่เข้มแข็ง ปลอดจากสารเสพติดตลอดไป