คำประกาศเกียรติคุณคนไทยตัวอย่างประจำปีพุทธศักราช ๒๕๔๑
นางชุลีมาสก์ พานนท์
“ครู” คือ ผู้ให้ความรู้ ความคิดอ่าน ปลูกฝังระเบียบ วินัยและมโนสำนึก
“แม่” คือ ผู้ให้ชีวิต ให้ความรัก อุ้มชูอุปการะจนบุตรเติบใหญ่
จิตใจความเป็นผู้ใหญ่อันสูงส่งทั้งสอง ปรากฏรวมกันในบุคคลคนเดียว เป็นครูผู้หญิงเล็ก ๆ คนหนึ่ง ผู้รับเด็กขาดโอกาสจำนวนมากมาเลี้ยงดูเหมือนลูกตนเอง และส่งให้ศึกษาต่อถึงขั้นมัธยมและอุดมศึกษา ทั้งหมดนี้ จากหัวใจอันยิ่งใหญ่ และจากรายได้อันน้อยนิดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาสิบสี่ปีเต็ม “แม่ครูผู้ให้” ท่านนี้คือ “นางชุลีมาสก์ พานนนท์”
นางชุลีมาสก์ พานนนท์ อายุ ๔๒ ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการประถมศึกษา จากวิทยาลัยครูมหาสารคาม ปัจจุบันรับราชการเป็นครูสอนชั้นเตรียมประถมที่โรงเรียนบ้านโคกล่ามตำแย อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ท้องที่แห่งนี้มีสภาพกันดาร แห้งแล้ง ชาวบ้านในวัยทำงานต่างอพยพเข้าไปขายแรงงานในเมืองใหญ่ บางหมู่บ้านเหลือแต่เด็กกับคนชรา ผู้ที่ยังอยู่ก็ล้วนต้องการให้ลูกมาช่วยทำนามากกว่าปล่อยให้เรียนต่อ
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ครูชุลีมาสก์ฯ พยายามสนับสนุนให้ลูกศิษย์คนเก่งคนหนึ่ง ได้มีโอกาสเรียนต่อชั้นมัธยม โดยต้องเจรจากับผู้ปกครองหลายครั้ง ต้องอธิบายเปรียบเทียบให้เห็นโอกาสดี ๆ ในอนาคตเด็กและครอบครัวที่เกิดจากการศึกษา จนผู้เป็นพ่อแม่คล้อยตามแต่ก็ไม่มีเงินพอจะส่ง ในที่สุดคุณครูฯ ก็ขอเป็นผู้อุปการะเอง จึงเป็นจุดเริ่มต้น ของโครงการส่งเสริมเพื่อการศึกษาเด็กในเวลาต่อมา
จากสภาพอันแร้นแค้นของพื้นที่ ความจำเป็นต้องอพยพแรงงาน และการที่พ่อแม่เชื่อถือในตัวคุณครูฯ ทำให้จำนวนเด็กในความอุปการะของครูชุลีมาสก์ฯ เพิ่มขึ้นเป็น ๔๒ คน ภายในห้าปีต่อมา เรียกกันว่า “เด็กโครงการนอก” และมีเด็กอีก ๖ คน มาอาศัยอยู่ในบ้าน เรียกกันว่า “เด็กโครงการใน” คุณครูฯ รับภาระค่าใช้จ่ายและค่าเล่าเรียนของลูก ๆ ทั้งหมด โดยหวังแต่เพียงให้เด็กได้เรียนหนังสือชั้นสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้
คุณครูฯ ได้ตั้งวงดนตรีและวงหมอลำ ซึ่งฝึกจากเด็ก ๆ ขึ้นมา มีโอกาสได้แสดงในงานทอดผ้าป่าบ้างเป็นครั้งคราว เงินที่ได้จากเจ้าภาพก็เข้าสู่โครงการส่งเสริมเพื่อการศึกษาเด็ก กิจกรรมหลายอย่างเกิดขึ้นใน “ศูนย์ลูกรัก” บ้านที่เด็ก ๆ กับคุณครูอยู่ด้วยกันมีการทำหัตถกรรมเพื่อหารายได้เสริม และเพื่อรักษาศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ทำเครื่องโปงลางชิ้นเล็ก ๆ ขายเป็นของที่ระลึก ทอผ้าฝ้าย ประดิษฐ์ดอกไม้จากรังไหม มีการทำการเกษตรในบ้านเพื่อนำผลผลิตมาบริโภค เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่อฝึกอาชีพพื้นฐานให้แก่เด็ก ๆ เช่น ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงหมูแม่พันธุ์ เป็ดไก่พื้นเมือง เลี้ยงปลา และเพาะเห็ด เป็นต้น
องค์กรสงเคราะห์เด็กบางแห่ง บริจาคเงินก้อนเข้ามาช่วยเหลือโครงการส่งเสริมฯ เช่น องค์กร Save the Children , Japan – Thailand มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก มูลนิธิอุทิศเพื่อเด็กไทยในชนบท เงินบริจาคเหล่านี้ เมื่อรวมกับรายได้เสริมต่าง ๆ และเงินเดือนของคุณครูก็ยังไม่พอ เนื่องจากจำนวนเด็กเพิ่มขึ้นทุกปี และวัยที่โตขึ้นของเด็ก ทำให้ต้องกินต้องใช้มากกว่าก่อน ค่าเล่าเรียนก็สูงขึ้นเมื่อเด็กขึ้นสู่ชั้นที่สูงกว่าเดิม เช่น เข้าเรียนระดับอุดมศึกษา
การให้สัมภาษณ์ของครูชุลีมาสก์ฯ เพื่อออกอากาศทางรายการโทรทัศน์ ได้ช่วยสภาพ “ศูนย์ลูกรัก” ให้ดีขึ้น โครงการส่งเสริมเพื่อการศึกษาเด็ก ได้รับเงินบริจาคเข้ามามาก ทั้งจากผู้มีจิตศรัทธา และจากองค์กรสาธารณูปการต่าง ๆ ข้าวของที่บริจาคเข้ามาส่วนที่เหลือ คุณครูฯ จะนำไปแจกจ่ายคนชราแปดสิบกว่าชีวิตในหลายหมู่บ้าน หลายคนในจำนวนนี้ ก็คือปู่ย่าหรือตายายของเด็กโครงการใน นั่นเอง
จนถึงขณะนี้ โครงการส่งเสริมเพื่อการศึกษาเด็กของครูชุลีมาสก์ฯ มีเด็กโครงการใน ๖๐ คน และเด็กโครงการนอกอีก ๑๘๐ คน มีเด็กที่เรียนจบปริญญาตรีแล้ว ๕ คน ทั้งจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพฯ และสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ มีเด็กเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑๔ คน ที่เหลือส่วนใหญ่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา
ครูชุลีมาสก์ฯ ได้โอบอุ้มเด็กผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ให้พ้นจากการตกเป็นเหยื่อความยากจน หยิบยื่นโอกาสที่จะเรียนต่อให้โดยไม่หวังการตอบแทนใด ๆ ตลอดสิบสี่ปีที่ผ่านมา คุณครูฯได้ช่วยด้านทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายเรื่องอาหาร ความเป็นอยู่ และการฝึกอาชีพ ตลอดจนอบรมความประพฤติและศีลธรรมแก่เด็ก ๆ บางครั้งคุณครูฯ ถึงขนาดยอมกู้เงินมีดอกเบี้ยมาเพื่อให้เด็กได้เรียนหนังสือกัน จิตวิญญาณแห่งความเป็น “แม่ครู” ของเด็กสองร้อยสี่สิบชีวิตนี้ เป็นสิ่งหาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน
มูลนิธิธารน้ำใจได้พิจารณาแล้วเห็นสมควรยกย่องให้ นางชุลีมาสก์ พานนนท์
“เป็นคนไทยตัวอย่างประจำปีพุทธศักราช ๒๕๔๑”