มูลนิธิธารน้ำใจตระหนักว่าสภาพปัญหาสารเสพติดในประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ซึ่งสำนักวิจัย เอแบค-เคเอสซีอินเตอร์เน็ต(เอแบคโพลล์) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ทำการวิจัยเชิงสำรวจไว้ ณ สิ้นเดือนตุลาคม พ.ศ.2544 โดยทำการวิจัยจากกลุ่มเป้าหมายนักเรียน-นักศึกษาภาคปกติ ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จนถึงปริญญาตรี จากสถาบันการศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 6,092,472 คน โดยไม่นับรวมกลุ่มนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราคำแหง และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ผลจากการสุ่มตัวอย่าง ได้ระดับความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 และความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มตัวอย่างที่ระดับบวกลบร้อยละ 1 ผลการวิจัยเชิงสำรวจ มีนักเรียน-นักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสารเสพติดจำนวน 2,700,049 คน คิดเป็นร้อยละ 44.3 ไม่เกี่ยวข้อง 3,392,423 คน คิดเป็นร้อยละ55.7 และหากแยกนักเรียน-นักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสารเสพติด โดยไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่ จะมีนักเรียน-นักศึกษาที่เกี่ยวกับสารเสพติดถึง 274,643 คน และจากผลการสำรวจในระดับหมู่บ้านชุมชนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดร่วมกับกระทรวงมหาดไทยพบว่า ปัญหาสารเสพติดได้ขยายตัวไปสู่พื้นที่ชนบทมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน-นักศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มหนึ่ง ที่อยู่ในภาวะที่น่าวิตกอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา
จากการพิจารณาสถิติการบำบัดรักษาสารเสพติดพบว่า นักเรียน-นักศึกษาที่ติดสารเสพติดและเข้าบำบัดรักษามีจำนวนมากขึ้นในแต่ละปี และยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการบำบัดรักษา พร้อมกันนั้นยังพบว่าผู้เสพส่วนหนึ่งยังได้มีการพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ค้า เพื่อต้องการแสวงหาเงินมาซื้อสารเสพติดเสพลักษณะเช่นนี้จึงจำเป็นต้องแสวงหาลูกค้ารายใหม่ๆ ที่จำนวนผู้เสพและผู้ค้าสารเสพติดในสถานศึกษาเพิ่มจำนวนมากขึ้น และทำให้ปัญหาสารเสพติดในกลุ่มนักเรียน-นักศึกษามีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น
จากสภาพปัญหาดังกล่าวมูลนิธิธารน้ำใจจึงได้ริเริ่มโครงการเชิดชูเกียรติสถานศึกษาที่มีผลงานดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสารเสพติดขึ้น ตั้งแต่ปีการศึกษา 2544 ด้วยการมอบรางวัลเกียรติคุณ สัญญา ธรรมศักดิ์ โดยวางแนวทางมุ่งยกย่องเชิดชูเกียรติสถานศึกษาที่มีนโยบายและวิธีการที่สัมฤทธิ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสารเสพติด ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติและเป็นกำลังใจแก่สถานศึกษาดังกล่าว อีกทั้งจะได้เป็นการเผยแพร่วิธีการของสถานศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการป้องกันและไขปัญหาสารเสพติด เพื่อเป็นแบบอย่างและเป็นแนวติดให้สถานศึกษาอื่นได้ปฏิบัติตามต่อไป